วันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1955 ‘วินสตัน เชอร์ชิลล์’ ลาออก

วันนี้ในอดีต ‘วินสตัน เชอร์ชิลล์’

วันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1955 ครบรอบ 66 ปี ‘วินสตัน เชอร์ชิลล์’ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร

‘วินสตัน เชอร์ชิลล์’(Winston Leonard Spencer-Churchill) นายกรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยมและเสียงชื่นชมจากประชาชนชาวบริติชอย่างมากที่มีบทบาทสำคัญในการยืนหยัดต่อสู้กับเยอรมนี แม้จะได้รับความนิยมแต่ชาวบริติชกลับคิดว่า‘เชอร์ชิลล์’ ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีคนที่เหมาะสมที่จะบริหารประเทศหลังสงคราม โดยเห็นได้จากรายงานของ ราล์ฟ อินเกอร์ซอลล์ (Ralph Ingersoll) นักข่าวชาวอเมริกันที่อยู่ในอังกฤษช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

‘เชอร์ชิลล์’ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1940 – 1945 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และอีกครั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1951 – 1955 เขามีสายเลือดทั้งอังกฤษและอเมริกันผสมกัน เกิดในครอบครัวชนชั้นสูงที่มั่งคั่งร่ำรวย

ในกรุงลอนดอน ผู้คนต่างชื่นชม ‘เชอร์ชิลล์’ เพราะเขามีความกล้าหาญและแน่วแน่ในจุดประสงค์หนึ่งเดียวของเขา ชาวอังกฤษคิดไม่ออกว่าหากประเทศไม่มีเขาแล้วจะเป็นอย่างไร ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นที่เคารพนับถืออย่างมาก แต่ไม่มีใครรู้สึกว่าเขาเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีหลังสิ้นสุดสงคราม ‘เชอร์ชิลล์’ เป็นเพียงชายคนที่ใช่ในเวลาที่เหมาะสม 

ในวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1955 ‘Winston Leonard Spencer-Churchill’ ในวัย 81 ปี ก็ได้ลาออกจากราชการ และถึงแก่กรรมในอีก 10 ปีต่อมา ในวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1965

‘เชอร์ชิลล์’ ยังคงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในสหราชอาณาจักรและโลกตะวันตก ซึ่งเขาถูกมองว่าเป็นผู้นำในช่วงยามสงครามที่นำมาซึ่งชัยชนะ ที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องประชาธิปไตยเสรีนิยมของยุโรป จากการแพร่กระจายของลัทธิฟาสซิสต์ ทั้งยังได้รับการยกย่องในฐานะนักปฏิรูปสังคม นักประวัติศาสตร์ จิตรกร และนักเขียน

ในขณะเดียวกัน เชอร์ชิลล์ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในช่วงสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการทิ้งระเบิดที่เดรสเดิน ในปี ค.ศ. 1945 นอกจากนี้ มุมมองของเขาเกี่ยวกับเรื่องเชื้อชาติที่ว่า คนผิวขาวยิ่งใหญ่เหนือกว่าคนเชื้อชาติอื่น

สุดท้ายนี้หลายๆคน เชื่อกันว่าวีรบุรุษหลายต่อหลายคนในโลกสามารถก้าวมาเป็น “ผู้นำโลก” ได้ล้วนแต่จะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถและพรสวรรค์พิเศษ แต่ก็มีบางคนที่ก้าวมาเป็นผู้นำแล้วสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมได้…

 

TAGS : BBC

Similar Posts