บิทคอยน์พุ่งทะยาน

บิทคอยน์พุ่งทะยานเมื่อ อีลอน มัสก์ ประกาศ เข้าซื้อ BTC 1.5 พ้นล้านเหรียญ

บิทคอยน์พุ่งทะยานเมื่อ อีลอน มัสก์ ประกาศ เข้าซื้อ BTC 1.5 พ้นล้านเหรียญ

หลัง Tesla แจ้งต่อ กลต. สหรัฐ (SEC) เมื่อวันจันทร์ที่ 8 ก.พ. ว่าได้ซื้อสกุลเงินดิจิทัลตัวนี้ คิดเป็นมูลค่า 1,500 ล้านดอลลาร์ หรือราว 45,000 ล้านบาท พร้อมแผนรับชำระเงินจากลูกค้าสำหรับสินค้าต่าง ๆ ด้วยบิทคอยน์ในอนาคตที่ผ่านมา มัสก์ มีส่วนผลักดันให้สกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ เป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากขึ้น ทั้งบิทคอยน์ และโดชคอยน์ (Dogecoin) โดยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา มัสก์ เคยทวีตถึงโดชคอยน์หลายครั้ง จนทำให้นักลงทุนแห่มาซื้อเงินสกุลดังกล่าว จนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 50%

แต่การแจ้งเรื่องดังกล่าวต่อ SEC ในครั้งนี้ ถูกมองว่าต่างออกไปจากการทวีต “ปั่น” เพื่อเล่นกับราคาหุ้นของบริษัทฯ เหมือนที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้เมื่อปลายเดือนธันวาคม CEO ของ MicroStrategy ได้ทวีตเสนอให้ มัสก์ ลองพิจารณาการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลด้วยการแปลงงบดุลของ Tesla จากเงินดอลลาร์ เป็นบิทคอยน์ ซึ่งขณะนั้นมีมูลค่าอยู่ที่ราวๆ 25,000 ดอลลาร์ (750,000 บาท) แทน เพื่อเป็นการบุกเบิกให้บริษัทใน S&P500 ดำเนินรอยตาม มัสก์ ทวีตกลับถึง เซย์เลอร์ ว่าสามารถลงทุนด้วยเงินจำนวนมากได้ไหม และได้คำตอบจากอีกฝ่ายว่าพร้อมจะแนะนำให้ จากประสบการณ์ที่เขามีเมื่อสำนักข่าวรอยเตอร์สพยายามติดต่อเพื่อขอรายละเอียดในเรื่องนี้เพิ่มเติม มัสก์ ก็ไม่ได้ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวแต่อย่างใด ก่อนที่คำแนะนำดังกล่าวจะกลายเป็นจริง เมื่อ Tesla แจ้งเรื่องนี้ต่อ SEC เมื่อวันจันทร์

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ มองว่าการซื้อบิทคอยน์ครั้งนี้ของ Tesla ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในการเลือกที่จะกระจายความเสี่ยง ด้วยการหันไปลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างไรก็ตาม มัสก์ ซึ่งเคยมีฐานะรวยที่สุดในโลกอยู่แล้ว เลือกที่จะลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล ผ่านบริษัทมหาชนอย่าง Tesla ก็อาจทำให้บริษัทอื่น ๆ ต้องกลับมาทบทวนว่าควรให้ความสำคัญกับคริปโตเคอร์เรนซี หรือสกุลเงินดิจิทัลมากขึ้นต่อจากนี้ไป สินทรัพย์ดิจิทัลอาจจะกลายเป็นเรื่องปกติของคนทั้งโลก โดยเริ่มต้นจากการลงทุนครั้งนี้ของ อีลอน มัสก์ และ Tesla ก็ได้

อย่างไรก็ตาม ทางตัว มักส์ เองก็ได้เพิ่มแฮชแท็ก #Bitcoin เอาไว้ในโปรไฟล์ตัวเองใน Twitter ด้วย และเป็นไปได้ว่า Tesla น่าจะให้มองเห็นความสำคัญของบิทคอยน์เพื่อไปต่อยอดในอนาคตอีกก็เป็นได้

 

Tags : Reuters

Similar Posts